วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ เมนูเด็ดดอกแค

ประโยชน์ต่อสุขภาพของแค

เท่าที่สำรวจพบจากรายงานต่างๆ มีดังนี้คือ
ประเทศไทยยอดและใบอ่อนแคมีสรรพคุณ ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ส่วนดอกแคมีประโยชน์ทางยาคือ แก้ไข้หัวลม โดยมักให้กินเป็นแกงส้มดอกแค

ประเทศอินเดียใช้แคเป็นยาพื้นบ้านดังนี้

รากสด 20 กรัม เคี่ยวในน้ำ 1 ลิตร 30 นาที กรองเอารากออกดื่มแก้อาการอักเสบ
เทน้ำเดือด 1 ลิตรท่วมใบสด 20 กรัม ทิ้งไว้ 15 นาทีกรองเอาใบแคออก ดื่มแก้โรคตาบอดกลางคืน ขับพยาธิ บรรเทาอาการลมบ้าหมูและโรคเกาต์
เทน้ำเดือด 1 ลิตรท่วมดอกแคสด 20 กรัม ทิ้งไว้ 15 นาทีกรองเอาดอกแคออก ดื่มแก้หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ และบำรุงตับ
ส่วนฝักสด 20 กรัม เคี่ยวในน้ำ 1 ลิตร 30 นาที กรองเอาฝักออกดื่มเพื่อระบายท้อง บรรเทาอาการไข้ ปวด เลือดจาง ช่วยความจำและป้องกันการเกิดเนื้องอก
ใบแคตำพอกบรรเทาอาการช้ำบวม
น้ำคั้นรากแคเจือน้ำผึ้งใช้ขับเสมหะลดอาการไอ
สูตรจากประเทศอินเดียทั้งหมดนี้ดื่มก่อนอาหาร เช้า เย็น 1 ชั่วโมงและก่อนนอน เตรียมแต่พอดื่มวันต่อวัน

การ วิจัยของประเทศอินเดียพบว่า สารสกัดเอ-ทานอลของใบแคมีฤทธิ์ป้องกันการถูกทำลายของตับในหนูทดลองที่ได้รับ ยาเกินขนาดโดยพบปริมาณเอนไซม์ แอสพาร์เทตทรานส์อะมิเนส อะลานีนทรานส์อะมิเนส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสต่ำในหนูที่รับยาและสารสกัดใบแค เอนไซม์ดังกล่าวมีปริมาณสูงในหนูซึ่งรับยาเกินขนาด เนื่องจากตับถูกทำลาย

นอก จากนี้หนูที่ได้รับยาและสารสกัดใบแคมีปริมาณไตรกลีเซอไรด์ โคเลสเตอรอล ฟอสโฟไลพิด และกรดไขมันอิสระต่ำกว่าหนูกลุ่มที่ได้รับยาอย่างเดียวและพบว่าสารสกัดใบแค ทำให้ปริมาณสารต้าน อนุมูลอิสระในกระแสเลือดหนูกลับสู่สภาวะปกติ ขณะที่ปริมาณสารดังกล่าวในหนูที่รับยามีปริมาณต่ำผลการวิจัยนี้เป็นข้อสนับ สนุนข้อมูลแพทย์ทางเลือกที่ใช้ใบแคบำรุงตับและแก้ความผิดปกติของตับได้อย่าง ดี

ดอกแคห่อกุ้งทอด


ส่วนผสม
ดอกแค 15 - 20 ดอก
กุ้งสับละเอียด 150 กรัม
แป้งทอดกรอบ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1/2 - 3/4ถ้วยตวง
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
รากผักชีหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
กระเทียมหั่นหยาบ ๆ 2 ชัอนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
เกล็ดขนมปังสำหรับคลุก
น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.โขลกพริกไทยเม็ด กระเทียม รากผักชีและเกลือป่นจนละเอียดใส่กุ้งสับโขลกจนเหนียว
3.นำดอกแคยัดด้วยไส้กุ้งที่เตรียมไว้
4.ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำเปล่าคนให้เข้ากัน นำดอกแคชุบลงในน้ำแป้งและคลุกเกล็ดขนมปัง
ลงทอดในน้ำมันพืชร้อน ๆ จนเหลืองทั่ว ตักขึ้นรับประทานกับน้ำจิ้ม

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
กระเทียมหั่นหยาบ ๆ 1 1/2 ชัอนชา
พริกชี้ฟ้าสีเหลือง 4 - 5 เม็ด
น้ำส้มสายชูกลั่น ตราภูเขาทอง 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำน้ำจิ้ม
1.โขลกพริกชี้ฟ้าและกระเทียม ให้ละเอียด
2.นำน้ำส้มสายชูกลั่น ตราภูเขาทอง น้ำตาลทรายและเกลือป่น ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด ใส่พริกที่โขลกไว้
เคี่ยวพอข้น ยกลง

tips : ต้องเลือกดอกแคแก่ที่กลีบยังไม่บานนะคะจะทำให้ยัดไส้ได้ง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยำก๋วยเตี๋ยวบก เพื่อสุขภาพ โดย นายเหลือง

ยำก๋วยเตี๋ยวบก เพื่อสุขภาพ โดย นายเหลือง

เมนูนี้ นายเหลือง คิดขึ้นเองครับ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ก๋วยเตี๋ยวยำ ก๋วยเตี๋ยวบก โดยประยุกต์เอาผักที่มีสัน แตกต่างกันมาไว้ด้วยกัน ตามหลักการทานอาหารที่ต้องมีผักหลากสี อันเป็นผลดีต่อสุขภาพ ของเกาหลี ตอนทำนั้น คิดทำในระหว่างที่น้องขวัญเปิดร้านกาแฟสด-อาหารตามสั่ง นั้นเอง สำหรับร้านน้องขวัญไว้จะเอามาลงเล่าให้ฟังอีกครั้งนะครับ มีเรื่องให้เรียนรู้กันมากมายเลยที่เดียว




ส่วนประกอบ
1.เส้นใหญ่ ลวกแล้ว คลุกกระเทียมเจียว
2. กะหลำปลีลวกสุก50% (พอสลด)
3.หมูหมัก นิ่มต้มสุก
4.แครอท หั่นเส้นลวกสุก
5.หอมใหญ่หั่นเส้น
6.ไข่ฝอย (ไข่เจียวบางๆหั่นเส้น)
7.ผักชีสด
8.พริกขี้หนูสด หั่น และทั้งเมล็ด
9.ผักชี
.
น้ำยำสำหรับราด
1. น้ำเชือม
2.น้ำมะนาว
3.น้ำปลา
4.พริกขี้หนูหั่น
5.หอมใหญ่สับหยาบ
6.ต้นหอมหั่น
วิธีทำน้ำ ยำสำหรับราด
คือเอาน้ำร้อนละลายน้ำตาล ให้ออกหวาน เติมเกลือน้ำปลา มะนาว ชมตามชอบ เสร็จแล้ว ใส่ผักพริก หรืออาจใส่ถั่วลิสงเพิ่มได้ตามชอบ

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดอกแค- ประโยชน์และเมนูเด็ด

 ชื่อท้องถิ่น  : แค แคบ้าน แคขาว แคแดง

ต้นแค เป็น พรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอก แคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง

ประโยชน์ตำรายาไทย

ดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้าง

ข้อแนะนำ


สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย

ยำดอกแค

ส่วนผสม
ดอกแค 30 - 40 ดอก
เนื้อหมูสับรวน 50 กรัม
กุ้งปอกเปลือกลวก 9 ตัว
หอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูบุบ 5 เม็ด
น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 30 กรัม
ผักชีเด็ดเป็นใบ

วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.ลวกดอกแคในน้ำเดือดจัด พอสุกรีบตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น แล้วสงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
จัดใส่จานเตรียมไว้
3.ผสม น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูบุบและหอมแดงซอยให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่เนื้อหมูสับ และกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันตักราดลงบนดอกแคในจานที่เตรียม ไว้ โรยด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดและผักชี จัดเสิร์ฟ

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์และโทษของน้ำมันปลา

ประโยชน์ของน้ำมันปลา คือ ลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะลดไตรกลีเซอไรด์ และมีฤทธิ์ในการต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดจึงช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ขึ้น บำรุงสมองและระบบประสาทเหมาะสำหรับทารกจนถึงวัยเด็กที่สมองกำลังพัฒนาสติ ปัญญา และการเรียนรู้ การทำงานของสมองป้องกันความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้านการอักเสบ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด  เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหอบหืด ภูมิแพ้ ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันในระยะต้น

ขนาดรับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน
ข้อควรระวัง
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรรักษาอาการเจ็บคอ

ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยตอยเช้าหนาว ตอนกลางวันร้อนและตอนเย็ยก็ฝนตก หลายคนอาจที่อาการไข้หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น เจ็บคอ เข้ามากวนใจ วันนี้จึงมีวิธีการรักษาอาการเจ็บคอด้วยการใช้สมุนไพรที่หาได้ภายในบ้าน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาฝากค่ะ

เจ็บคอ เป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยในคนทุกเพศ ทุก วัย มักเกิดร่วมกับอาหารหวัด แพ้อากาศ หรือไอเป็นเวลานาน ซึ่งต้องรักษาอาการอื่นๆพร้อมกันไปด้วย การเจ็บคอบางครั้งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส อาจทำให้คอแดง มีเสมหะมาก สีเหลืองขุ่นหรือสีเหลืองปนเขียว ควรได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน สำหรับอาการเจ็บคอเล็กน้อย หรือเมื่อเริ่มมีอาการอาจเลือกใช้สมุนไพรก่อนในเบื้องต้น สมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี คือ

ฟ้าทะลาย
ส่วนที่ใช้ ถ้าเก็บตอนเริ่มมีดอก จะใช้ทั้งต้นบนดิน แต่ถ้าต้นแก่จะใช้เฉพาะใบเท่านั้น ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้งซึ่งมีรสขมจัด
ขนาด และวิธีใช้ บดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือใช้ใบสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง


การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
ประหยัดและปลอดภัยกว่าการซื้อยามาอมทั้งวันการกลั้วคอเห็นผลแทบจะในทันที คือ ผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 ถ้วยอมน้ำเกลือกลัวคอ แหงนหงายศรีษะไปข้างหลังเพื่อให้น้ำเกลืออาบเนื้อเยื่อในคอ อาการเจ็บคอจะบรรเทาไปชั่วคราว ทำซ้ำวันละ 4 ครั้ง

ทานมะขามป้อม
เพื่อทั้งกันและแก้อาการหวัดสามารถรับประทานได้ทั้งผลแห้งและผลสด ลองเลือกสักวิธีที่ง่าย ๆ และสะดวกดังต่อไปนี้

วิธีที่ 1 รับ ประทานลูกสดทั้งลูกวันละ 1-2 ลูก ตอนรับประทานเข้าไปทีแรกอาจรู้สึกเปรี้ยวและฝาด ๆ ขม ๆ แต่เมื่ออมไปสักครู่รสชาติจะเปลี่ยนเป็นหวานชุ่มคอดีนัก ยิ่งเวลาเหนื่อย ๆ กระหายน้ำจะชุ่มชื่นขึ้นทันที

วิธีที่ 2เลือก ผลสด ๆ แก่จัดสัก 20-30 ลูก ล้างน้ำผ่าเอาเมล็ดออก เอาเนื้อใส่เครื่องปั่นไฟฟ้า หรือตำด้วยครกไทยก็ได้ เติมน้ำ 2 ถ้วย ผสมด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งประมาณ 1/3 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำมะขามป้อมสีขาวขุ่น ๆ ใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็น รินดื่มกันได้ทั่วหน้า

มะนาว

วิธีการปรุงง่าย ๆ คือ ใช้น้ำมะนาว 1 ส่วน ผสมน้ำสุกอุ่น 1 ส่วน น้ำเชื่อม 1 ส่วน เหยาะเกลือเล็กน้อย ผสมให้เข้ากันดีแล้วค่อย ๆ จิบทีละน้อย จะได้ผลดีกว่าดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เพราะตัวยาจะออกฤทธิ์ที่คออย่างสม่ำเสมอ รักษาอาการไอ เจ็บคอในหน้าฝนอย่างนี้ดีนักเชียว

เพราะ น้ำมะนาวมีกรดอยู่เป็นจำนวนมาก กรดชนิดนี้ช่วยลดการกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายสดชื่น และเป็นยาฝาดสมานอย่างอ่อน ๆ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ระงับการเติบโตของเชื้อโรค จึงเหมาะสำหรับรักษาอาการไข้ อาการหวัด หรือไอ มีเสมหะ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ใบชะพู

ประโยชน์และสรรพคุณของใบชะพลู
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด เช่น เมี่ยงคำ ลาบ เป็นผักประกอบข้าวยำ แกงคั่วหอยขม แกงอ่อม แกงหน่อไม้
 ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
 ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
 ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
 ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง

ข้อควรระวัง
      ใบชะพลูมีสารกลุ่มออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ ถ้าหากร่างกายได้รับการสะสม จึงควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้สารดังกล่าวถูกเจือจ่าง ถูกขับถ่ายมาทางปัสสวะ หรือทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วก็ได้

เมื่อเห็นประโยนช์อัมมหาศาลของใบชะพลูกันแล้ววันนี้จึงขอนำเสนอเมนูเด็ดที่มีซื่อว่า

แกงปลาดุกนาข่าอ่อนใบชะพลู

ส่วนผสม   
- ปลาดุกนา   - ใบชะพลู   - ใบยี่หร่า (ถ้ามี)  - ข่าอ่อน   - กะทิ   - เครื่องแกงเผ็ดใต้    - กะปิ   - เกลือ    - น้ำปลา  - ผงปรุงรส
ขั้นตอนการทำ
- กะทิตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ + กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ

- ผัดกะทิกับเครื่องแกงให้สุกหอม ใส่ปลาดุกลงไปเลยค่ะ

- เกลี่ย ๆ เนื้อปลาให้เข้ากับเครื่องแกง รอจนเนื้อปลาเริ่มสุก น้ำแกงเดือดจัด เติมกะทิลงไป

- รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ข่าอ่อนลงไป

- เดือดซักพัก ใส่ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่าลงไป

- เกลี่ย ๆ ให้ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่า จมเครื่องแกง อย่าคนแรงน๊ะคะ เดี๋ยวปลาจะเละ

- รอให้เดือดซักพัก ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ตามชอบ ก็เสร็จแล้วค่ะ






วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การล้างผักให้สะอาด

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจหรือเทศการกินผัก การกินผักนั้นมีประโยชน์มากแต่ก่อนที่จะกินเราก้ต้องล้างผักให้สะอาดเพื่อล้างสารพิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ในผักเพราะถ้าหากล้างไม่หมกอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการล้างผักให้สะอาดมาฝากค่ะ



-  ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %
-  น้ำส้มสายชู  เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %
-  น้ำไหล  เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %
-  แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %
-  ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของมะรุมพร้อมเมนูอาหารรสเลิศ...แกงส้มใบมะรุม

มะรุม  เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัหัวลม                          
เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก   แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน

วันนี้จึงขอแนะนำเมนูเด็ด สรรพคุณยอดเย็ม
แกงส่มใบมะรุม
เครื่องปรุง
น้ำพริกแกงส้มที่โขลก 1/2 ถ้วย
น้ำ 4 ถ้วย
เนื้อฝักมะรุมหั่นท่อน 1 นิ้ว (6 ฝัก) 2 ถ้วย
เมล็ดอ่อนมะรุม 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วชาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 1.5 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนชา
น้ำมะขามเปียกข้นๆ 1/4 ถ้วย
น้ำมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา ใบมะรุม 2 ถ้วย
เต้าหู้ (180 กรัม)(หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมทอด) 1 ถ้วย
เครื่องแกง (ปริมาณ 1/2 ถ้วย)พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 7 เม็ด
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
พริกขี้หนูสวนสีแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่น 5 หัว
กะปิเจ 1 ช้อนชา เห็ดฟาง 4 ดอก
วิธีทำ
1. ทำน้ำพริกแกงส้มโดยโขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่พริกขี้หนูสีแดง หอมแดง กะปิเจ โขลกต่อจนละเอียดเข้ากันดี จึงใส่เห็ดฟาง โขลกจนละเอียดเข้ากัน ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. ใสน้ำพริกแกงส้มที่โขลกลงในหม้อใส่น้ำ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งบนไฟกลางจนเดือด ใส่เนื้อฝักมะรุม เมล็ดมะรุม พอเดือดและสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำมะขามเปียก น้ำมะกรูด และเกลือ พอเดือดอีกครั้งใส่ใบมะรุม และเต้าหู้ทอด คนให้ทั่วพอใบมะรุมสุก ชิมรสให้เปรี้ยว หวานเค็ม กลมกล่อม ปิดไฟ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

โหระพาสรรพคุณและเมนูเด็ด

โหระพา
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ในโหระพาประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน ใช้เป็นยาหรือเป็นอาหาร สามารถใช้ได้ทั้งต้น ใบ เมล็ดและผล ใบและลำต้นของโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก จึงมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด ใบมีกลิ่นฉุน รสร้อน แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ช่วยให้ผายลม แก้ปวดปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียดขับเสมหะ ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ ยอดอ่อนตำปิดแผลงูกัด ปรุงกับน้ำนมราชสีห์ รับประทานเพิ่มน้ำนม ตำรวมกับแมงดาตัวผู้พอกแก้พิษแมลงกัดต่อย ส่วนเมล็ดแก้ไข้ ขับพยาธิ ขับน้ำเหลืองเสีย บดพอก พอกฝีหรือแผลอักเสบ แช่น้ำรับประทานเป็น
ยาระบายท้อง แก้อาหารไม่ย่อย หรือจะใช้ใบโหระพาตากแห้งชงน้ำร้อนอมกลั้วคอแก้กลิ่นปากหรือหายใจมีกลิ่นเหม็นประโยชน์ทางอาหาร

เมื่อรู้ประโยชน์ของโหระพาแล้ว วันนี้จึงมีเมนูเด็ดมานำเสนอคือ
โหระพาผัดหมึก

ส่วนผสมและเครื่องปรุง :

1. ปลาหมึกสด ๆ 4-5 ตัวใหญ่
2. กระเทียม 1-2 หัว
3. พริกขี้หนู 4-5 เม็ด
4. เต้าเจี้ยว
5. น้ำตาลทราย
6. ใบโหระพา
7. น้ำมันสำหรับผัด 2-3 ชต.



วิธีทำ

เมื่อเตรียมส่วนผสม-เครื่องปรุงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาลงมือทำกันค่ะเริ่มต้นก็ ... ตั้งกระทะบนเตาไฟ  ใส่น้ำมันลงไปหน่อยค่ะ  ไม่เยอะ ประมาณ 2-3 ชต. (ขึ้นกับปริมาณที่ทำ)  ... แล้วพอน้ำมันเริ่มร้อน ก็ใส่กระเทียมที่เราสับไว้ ลงไปค่ะพอกระเทียมเหลือง ก็ใส่ปลาหมึกที่สะเด็ดน้ำแล้วลงไปเลยค่ะ ... (ตอนนี้ให้เร่งไฟแรงขึ้น / ปลาหมึกผัดหรือย่างบนไฟเรื่อย ๆ จะทำให้เนื้อเหนียวค่ะ)พอปลาหมึกเริ่มจะสุก  (อย่ารอจนสุกสนิท)  ก็ทำการปรุงรส โดยใส่เต้าเจี้ยวเป็นหลัก  และก็ตัดรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เค็มโด่เกินไป  (ปริมาณของเต้าเจี้ยว และน้ำตาลทราย เท่า ๆ กับที่เห็นในภาพอ่ะค่ะ) .... แล้วผัดให้เข้ากันดีค่ะ   แอบชิมรสนิดนึงว่าใช้ได้ไหม  เค็มไป หวานไปหรือเปล่า ... ถ้าเค็มไป เติมน้ำซุปลงไปนิดหน่อยค่ะ  แต่ถ้าหวานไป ก็เติมเต้าเจี้ยวเพิ่มไปนิดนึงแล้วเมื่อรสชาติใช้ได้  ก็ใส่พริกกับใบโหระพาลงไป  .... ผัด ๆ ให้เข้ากันด้วยความเร็วนิดนึง ..... พอเข้ากันดี ก็ปิดไฟเลยค่ะดท้ายก็ตักใส่จาน ... เอาไปทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้เลย ... ยิ่งถ้าได้กินแอ้มกับปลาสลิดเค็มทอด จะอร่อยมากขึ้นอีกค่ะ

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ชะอม

สรรพคุณของชะอม

ใบอ่อนที่เรามักนำมาประกอบอาหาร นั้นก็มีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย รากแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกอ่อนนั้นไม่ควรกินชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง

- ราก แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ่อ ขับลมในลำใส
- แก้ลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง

วุ้นเส้นผัดชะอม

 เป็นเมนที่แปลกมากเลยค่ะไม่คิดว่าผักชะอมจะทำได้.....
แต่พอลองทำดูอร่อยมากเลยค่ะ

ส่วนประกอบ
- วุ้นเส้น (แช่น้ำให้นิ่ม แล้วตัดให้ได้ความยาวประมาณ 10 เซ็นติเมตร)
- ชะอม
- กุ้ง
- หมูสับ
- ไข่ไก่
วิธีทำ ออกแนวผัดซีอิ๊วครับ ไม่ยากเท่าไร
มาดูกันเลยครับ
ผัดหมูสับให้พอสุก
ใส่กุ้ง ผัดให้สุกขึ้นเล็กน้อย
ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป แล้วคนให้กระจาย
จากนั้นใส่วุ้นเส้น และชะอม
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม และน้ำปลาอีกนิดหน่อย
ผัดให้เข้ากัน

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์-เมนูเด็ด กระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วันมีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการคือ มีคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน โฟเลท แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี ๑ วิตามินบี ๒ ไนอาซิน วิตามินซี อยู่ปริมาณพอสมควร แต่บทบาททางสุขภาพที่สำคัญของกระเจี๊ยบเขียวเกิดจาการที่กระเจี๊ยบเขียวมี กลูตาไทโอน (glutathione) ซึ่งถือว่าเป็นราชาของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี และยังร่ำรวยใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เพคทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetylated acidic polysaccharide และกรดกาแลคทูโลนิค (galactulonic acid) ดังนั้น การกินกระเจี๊ยบเขียวจึงช่วยระบบขับถ่าย ระบบดูดซึมสารอาหาร ลดความเสี่ยงโรคแผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด
เมนูกระเจี๊ยบเขียว
แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว

เครื่องปรุง
พริกแห้ง         3 เม็ด
กระเทียม         1 หัว
ปลาช่อน         1 ตัว
ดอกคะน้า         1 ดอก
เกลือ
หอมแดง         5 หัว
กะปิ        1 ช้อนชา
กระเจี๊ยบเขียว     3 ขีด
มะดัน         4 ผล
น้ำปลา
วิธีทำ
    1. โขลกพริกแห้ง หอม กระเทียม กะปิ ให้ละเอียดเป็นเครื่องแกง
    2. ปลาช่อนแบ่งครึ่ง ด้านหัว ต้มให้สุกแกะเอาแต่เนื้อโขลกลงไปกับข้อที่ 1
    3. ด้านหางหั่นตามขวางลำตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1 กระเบียดพักไว้
    4. เครื่องแกงละลายกับน้ำเปล่า 4 ถ้วย ตั้งไฟใส่มะดัน เกลือ น้ำปลาให้เดือด เอามะดันขึ้นมาละลายเอาเมล็ดออก ชิมรสใส่ปลาด้านหางลงไปพอสุก
    5. กระเจี๊ยบ ดอกคะน้า ล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นพองาม ใส่ลงไปในหม้อพอสุกยกลงเสริ์ฟขณะยังร้อนอยู่

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

มะระ-ยำมะระกุ้งสด

“หวานเป็นลม ขมเป็นยา” นั้นไม่เคยตกยุค เพราะยาอีกจำนวนมากยังคงขมอยู่ บางคนอาจเถียงว่ายาบางชนิดก็หวาน (กินอร่อย) แต่นั้นเป็นการเติมน้ำตาลหรือรสเพื่อกลบรสขมมากกว่าการที่ยานั้นหวานโดยตัว มันเอง   ทำไมสิ่งที่ใช้เป็นยาจึงต้องขม กินก็ยาก ก็คงเพราะขมนี่แหละที่ทำให้เรารู้ว่านี่คือยา ไม่ใช่ของกินเล่นหรือขนม และคงต้องรักษาสุขภาพให้ดีไว้ก่อนที่โรคาพยาธิจะเบียดเบียน และต้องกินของที่ขม ที่แสนขื่นลิ้นอย่างยาทั้งหลาย
ประโยชน์ : ยอดอ่อน ใบอ่อนและผลอ่อน-นึ่งหรือลวกให้สุก ทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกปลาร้าหรือน้ำพริกปลาทู แก้เบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ผลดิบ-กินแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้าม อักเสบ ผลสุก-ใช้คั้นน้ำทาหน้าแก้สิว เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาเจริญอาหาร แก้โรคลมเข้าข้อหัวเข่าบวม เป็นยาบำรุงน้ำดี เป็นยาขับพยาธิในท้อง ส่วนน้ำคั้นของผลมะระ-แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู

เมื่อเรารุ้ประโยนช์อันมหาสารของมะระกันไปแล้ว
วันนี้จึงขอเสนอเมนูเด็ด......
ยำมะระกุ้งสด

     ส่วนผสม          
      มะระ 1/2 ลูก    
      กุ้งแชบ๊วย 5 ตัว    
      หอมแดงซอย 3 หัว    
      พริกขี้หนู 5 เม็ด    
      น้ำมะนาว 1 ช้อน    
      น้ำปลา 1 ช้อน    
      น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ    
      มะเขือเทศ ผักกาดหอม แครอทหั่นฝอย ตกแต่งจาน    

วิธีทำ
-นำมะระที่ผ่าครึ่งตามแนวนอนแล้วหั่นบางๆ ลงลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วตักออกพักไว้
-เอากุ้งแชบ๊วยที่ผ่าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ลงไปลวกให้สุกเช่นกัน
-ทำเครื่องปรุง ด้วยการตำพริกขี้หนูใส่ลงไป แล้วนำเอาเครื่องปรุงส่วนผสมอื่นๆ มาใส่รวมกัน คลุกกับกุ้งและมะระให้ทั่ว ชิมรสชาติให้กลมกล่อม ออกรสเปรี้ยว หวาน เค็ม ตกแต่งจานด้วยมะเขือเทศ ผักกาดหอม และแครอท แล้วเสิร์ฟได้ทันที

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ข้าวแช่เมนูดับร้อน

“ข้าวแช่” เป็นเมนูอาหารที่ชาวไทยนิยมรับประทานมากในฤดูร้อน เรียกได้ว่า หนึ่งปีมีหนเท่านั้นที่เราจะได้ลองลิ้มชิมรส ข้าวแช่แสนอร่อย ถึงแม้แต่เดิมจะเป็นอาหารที่มีเฉพาะในวังเท่านั้น แต่ปัจจุบัน “ข้าวแช่” ได้กลายมาเป็นอาหารยอดนิยมที่แพร่หลายมาถึงชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้หยุดอยู่สำหรับชาววังเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว 



วิธีการทำข้าวแช่
การหุงข้าวแช่
ส่วนประกอบ
1. ข้าวหอมมะลิ
2. ดอกมะลิ
3. น้ำสะอาด
วิธีทำ
นำเอาข้าวหอมมะลิจำนวนพอเหมาะ หุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะดีที่สุด เมื่อหุงข้าวให้สุกพอสมควร นำไปพักไว้ให้เย็นอยู่สักระยะแล้วจึงเทน้ำเย็นธรรมดาให้ท่วมข้าว หลังจากนั้นก็ล้างข้าวให้หมดเหมือก และนำข้าวที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำออก
น้ำ (น้ำแช่กับข้าว) จะนิยมใช้น้ำฝนไปต้มให้เดือดแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ถ้าอยากได้ข้าวมีกลิ่นหอมก็ใช้ดอกมะลิปลอดสารเคมีใส่ลงไป จะเพิ่มให้น้ำหอมชวนชิม



 อ่านต่อ
 http://www.walkwaywhy.com/

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด แก้กระหายคลายร้อน และช่วยขับปัสสาวะ
แบบอิ่มอร่อยมาฝากแถมเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

  
เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด
ส่วนผสม
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
นมสดชนิดจืด 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา
ฟรุตสลัด
นม ข้นจืดตามต้องการ
วิธีทำ
ผสมวุ้น ผงกับน้ำ เปล่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตั้งไฟเคี่ยวให้วุ้นละลาย หมั่นคนบ่อย ๆ จนเดือด จากนั้นใส่น้ำตาลแร่ธรรมชาติลงไป คนให้น้ำตาลละลายหมด ใส่นมสดและกลิ่นวานิลาลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเทส่วนผสมลงในถ้วยหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้รอจนแข็งตัวระหว่าง รอ หันไปเตรียมฟรุตสลัดกัน
ส่วนผสม
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
ผลไม้ต่าง ๆ ที่ต้องการทำฟรุตสลัด เช่น มะละกอ, สับปะรด, องุ่น, แคนตาลูป หรือชนิดอื่นตามใจชอบอย่างละ 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
หั่น มะละกอ, สับปะรด, แคนตาลูป เป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ส่วนองุ่นให้ล้างน้ำลอกเปลือกออก ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาลแร่ธรรมชาติ นำไปตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้น ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไป ควรจะเชื่อมทีละอย่าง ตักออกแล้วค่อยเชื่อมอย่างอื่นต่อเมื่อทำ ฟรุตสลัดเรียบร้อยแล้ว นำฟรุตสลัดทั้งเนื้อและน้ำใส่ลงไปในเต้าฮวย ราดด้วยนมข้นจืดตามต้องการ

เคล็ดไม่ลับก้นครัว ถ้า อยากให้เต้าฮวยนิ่ม ๆ ก็ลดปริมาณผงวุ้นลงนิดหน่อย และก่อนรับประทานควรนำเต้าฮวยฟรุตสลัดแช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อความหวาน เย็น สดชื่น

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของการดื่มนมที่ถูกต้อง

  นมเป็นแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และวิตามิน ที่สำคัญ ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้เสริมสร้างร่างกายได้ถึง 95 %
        ผลการวิจัยว่าการดื่มนมอุ่นๆ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเราเอง จะมีผลดีมากที่สุด เนื่องจาก โปรตีนและแคลเซี่ยมจากนม จะสามารถแตกตัวได้ดีกว่า การดื่มนมเย็น นอกจากนี้ การดื่มนมอุ่นยังส่งผลช่วยในการขยายหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้สารอาหารต่างๆที่ลำเลียงผ่านหลอดเลือดเดินทางไปได้ดีขึ้นอีกด้วยนี่ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆในการดื่มนม ที่บางคนยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การดื่มนมไม่ว่าจะเป็นนมร้อนหรือเย็นก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น เป็นหนทางการดูแลสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย