มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
ฝัก - ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัหัวลม
เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
วันนี้จึงขอแนะนำเมนูเด็ด สรรพคุณยอดเย็ม
แกงส่มใบมะรุม
เครื่องปรุง
น้ำพริกแกงส้มที่โขลก 1/2 ถ้วย
น้ำ 4 ถ้วย
เนื้อฝักมะรุมหั่นท่อน 1 นิ้ว (6 ฝัก) 2 ถ้วย
เมล็ดอ่อนมะรุม 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วชาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 1.5 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนชา
น้ำมะขามเปียกข้นๆ 1/4 ถ้วย
น้ำมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา ใบมะรุม 2 ถ้วย
เต้าหู้ (180 กรัม)(หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมทอด) 1 ถ้วย
เครื่องแกง (ปริมาณ 1/2 ถ้วย)พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 7 เม็ด
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
พริกขี้หนูสวนสีแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่น 5 หัว
กะปิเจ 1 ช้อนชา เห็ดฟาง 4 ดอก
วิธีทำ
1. ทำน้ำพริกแกงส้มโดยโขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่พริกขี้หนูสีแดง หอมแดง กะปิเจ โขลกต่อจนละเอียดเข้ากันดี จึงใส่เห็ดฟาง โขลกจนละเอียดเข้ากัน ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. ใสน้ำพริกแกงส้มที่โขลกลงในหม้อใส่น้ำ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งบนไฟกลางจนเดือด ใส่เนื้อฝักมะรุม เมล็ดมะรุม พอเดือดและสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำมะขามเปียก น้ำมะกรูด และเกลือ พอเดือดอีกครั้งใส่ใบมะรุม และเต้าหู้ทอด คนให้ทั่วพอใบมะรุมสุก ชิมรสให้เปรี้ยว หวานเค็ม กลมกล่อม ปิดไฟ
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
โหระพาสรรพคุณและเมนูเด็ด
โหระพา
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ในโหระพาประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน ใช้เป็นยาหรือเป็นอาหาร สามารถใช้ได้ทั้งต้น ใบ เมล็ดและผล ใบและลำต้นของโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก จึงมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด ใบมีกลิ่นฉุน รสร้อน แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ช่วยให้ผายลม แก้ปวดปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียดขับเสมหะ ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ ยอดอ่อนตำปิดแผลงูกัด ปรุงกับน้ำนมราชสีห์ รับประทานเพิ่มน้ำนม ตำรวมกับแมงดาตัวผู้พอกแก้พิษแมลงกัดต่อย ส่วนเมล็ดแก้ไข้ ขับพยาธิ ขับน้ำเหลืองเสีย บดพอก พอกฝีหรือแผลอักเสบ แช่น้ำรับประทานเป็น
ยาระบายท้อง แก้อาหารไม่ย่อย หรือจะใช้ใบโหระพาตากแห้งชงน้ำร้อนอมกลั้วคอแก้กลิ่นปากหรือหายใจมีกลิ่นเหม็นประโยชน์ทางอาหาร
เมื่อรู้ประโยชน์ของโหระพาแล้ว วันนี้จึงมีเมนูเด็ดมานำเสนอคือ
โหระพาผัดหมึก
ส่วนผสมและเครื่องปรุง :
1. ปลาหมึกสด ๆ 4-5 ตัวใหญ่
2. กระเทียม 1-2 หัว
3. พริกขี้หนู 4-5 เม็ด
4. เต้าเจี้ยว
5. น้ำตาลทราย
6. ใบโหระพา
7. น้ำมันสำหรับผัด 2-3 ชต.
วิธีทำ
เมื่อเตรียมส่วนผสม-เครื่องปรุงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาลงมือทำกันค่ะเริ่มต้นก็ ... ตั้งกระทะบนเตาไฟ ใส่น้ำมันลงไปหน่อยค่ะ ไม่เยอะ ประมาณ 2-3 ชต. (ขึ้นกับปริมาณที่ทำ) ... แล้วพอน้ำมันเริ่มร้อน ก็ใส่กระเทียมที่เราสับไว้ ลงไปค่ะพอกระเทียมเหลือง ก็ใส่ปลาหมึกที่สะเด็ดน้ำแล้วลงไปเลยค่ะ ... (ตอนนี้ให้เร่งไฟแรงขึ้น / ปลาหมึกผัดหรือย่างบนไฟเรื่อย ๆ จะทำให้เนื้อเหนียวค่ะ)พอปลาหมึกเริ่มจะสุก (อย่ารอจนสุกสนิท) ก็ทำการปรุงรส โดยใส่เต้าเจี้ยวเป็นหลัก และก็ตัดรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เค็มโด่เกินไป (ปริมาณของเต้าเจี้ยว และน้ำตาลทราย เท่า ๆ กับที่เห็นในภาพอ่ะค่ะ) .... แล้วผัดให้เข้ากันดีค่ะ แอบชิมรสนิดนึงว่าใช้ได้ไหม เค็มไป หวานไปหรือเปล่า ... ถ้าเค็มไป เติมน้ำซุปลงไปนิดหน่อยค่ะ แต่ถ้าหวานไป ก็เติมเต้าเจี้ยวเพิ่มไปนิดนึงแล้วเมื่อรสชาติใช้ได้ ก็ใส่พริกกับใบโหระพาลงไป .... ผัด ๆ ให้เข้ากันด้วยความเร็วนิดนึง ..... พอเข้ากันดี ก็ปิดไฟเลยค่ะดท้ายก็ตักใส่จาน ... เอาไปทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้เลย ... ยิ่งถ้าได้กินแอ้มกับปลาสลิดเค็มทอด จะอร่อยมากขึ้นอีกค่ะ
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ในโหระพาประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน ใช้เป็นยาหรือเป็นอาหาร สามารถใช้ได้ทั้งต้น ใบ เมล็ดและผล ใบและลำต้นของโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก จึงมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด ใบมีกลิ่นฉุน รสร้อน แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ช่วยให้ผายลม แก้ปวดปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียดขับเสมหะ ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ ยอดอ่อนตำปิดแผลงูกัด ปรุงกับน้ำนมราชสีห์ รับประทานเพิ่มน้ำนม ตำรวมกับแมงดาตัวผู้พอกแก้พิษแมลงกัดต่อย ส่วนเมล็ดแก้ไข้ ขับพยาธิ ขับน้ำเหลืองเสีย บดพอก พอกฝีหรือแผลอักเสบ แช่น้ำรับประทานเป็น
ยาระบายท้อง แก้อาหารไม่ย่อย หรือจะใช้ใบโหระพาตากแห้งชงน้ำร้อนอมกลั้วคอแก้กลิ่นปากหรือหายใจมีกลิ่นเหม็นประโยชน์ทางอาหาร
เมื่อรู้ประโยชน์ของโหระพาแล้ว วันนี้จึงมีเมนูเด็ดมานำเสนอคือ
โหระพาผัดหมึก
ส่วนผสมและเครื่องปรุง :
1. ปลาหมึกสด ๆ 4-5 ตัวใหญ่
2. กระเทียม 1-2 หัว
3. พริกขี้หนู 4-5 เม็ด
4. เต้าเจี้ยว
5. น้ำตาลทราย
6. ใบโหระพา
7. น้ำมันสำหรับผัด 2-3 ชต.
วิธีทำ
เมื่อเตรียมส่วนผสม-เครื่องปรุงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาลงมือทำกันค่ะเริ่มต้นก็ ... ตั้งกระทะบนเตาไฟ ใส่น้ำมันลงไปหน่อยค่ะ ไม่เยอะ ประมาณ 2-3 ชต. (ขึ้นกับปริมาณที่ทำ) ... แล้วพอน้ำมันเริ่มร้อน ก็ใส่กระเทียมที่เราสับไว้ ลงไปค่ะพอกระเทียมเหลือง ก็ใส่ปลาหมึกที่สะเด็ดน้ำแล้วลงไปเลยค่ะ ... (ตอนนี้ให้เร่งไฟแรงขึ้น / ปลาหมึกผัดหรือย่างบนไฟเรื่อย ๆ จะทำให้เนื้อเหนียวค่ะ)พอปลาหมึกเริ่มจะสุก (อย่ารอจนสุกสนิท) ก็ทำการปรุงรส โดยใส่เต้าเจี้ยวเป็นหลัก และก็ตัดรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เค็มโด่เกินไป (ปริมาณของเต้าเจี้ยว และน้ำตาลทราย เท่า ๆ กับที่เห็นในภาพอ่ะค่ะ) .... แล้วผัดให้เข้ากันดีค่ะ แอบชิมรสนิดนึงว่าใช้ได้ไหม เค็มไป หวานไปหรือเปล่า ... ถ้าเค็มไป เติมน้ำซุปลงไปนิดหน่อยค่ะ แต่ถ้าหวานไป ก็เติมเต้าเจี้ยวเพิ่มไปนิดนึงแล้วเมื่อรสชาติใช้ได้ ก็ใส่พริกกับใบโหระพาลงไป .... ผัด ๆ ให้เข้ากันด้วยความเร็วนิดนึง ..... พอเข้ากันดี ก็ปิดไฟเลยค่ะดท้ายก็ตักใส่จาน ... เอาไปทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้เลย ... ยิ่งถ้าได้กินแอ้มกับปลาสลิดเค็มทอด จะอร่อยมากขึ้นอีกค่ะ
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
ชะอม
สรรพคุณของชะอม
ใบอ่อนที่เรามักนำมาประกอบอาหาร นั้นก็มีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย รากแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกอ่อนนั้นไม่ควรกินชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง
- ราก แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ่อ ขับลมในลำใส
- แก้ลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
วุ้นเส้นผัดชะอม
เป็นเมนที่แปลกมากเลยค่ะไม่คิดว่าผักชะอมจะทำได้.....
แต่พอลองทำดูอร่อยมากเลยค่ะ
ส่วนประกอบ
- วุ้นเส้น (แช่น้ำให้นิ่ม แล้วตัดให้ได้ความยาวประมาณ 10 เซ็นติเมตร)
- ชะอม
- กุ้ง
- หมูสับ
- ไข่ไก่
วิธีทำ ออกแนวผัดซีอิ๊วครับ ไม่ยากเท่าไร
มาดูกันเลยครับ
ผัดหมูสับให้พอสุก
ใส่กุ้ง ผัดให้สุกขึ้นเล็กน้อย
ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป แล้วคนให้กระจาย
จากนั้นใส่วุ้นเส้น และชะอม
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม และน้ำปลาอีกนิดหน่อย
ผัดให้เข้ากัน
ใบอ่อนที่เรามักนำมาประกอบอาหาร นั้นก็มีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย รากแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกอ่อนนั้นไม่ควรกินชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง
- ราก แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ่อ ขับลมในลำใส
- แก้ลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
วุ้นเส้นผัดชะอม
เป็นเมนที่แปลกมากเลยค่ะไม่คิดว่าผักชะอมจะทำได้.....
แต่พอลองทำดูอร่อยมากเลยค่ะ
ส่วนประกอบ
- วุ้นเส้น (แช่น้ำให้นิ่ม แล้วตัดให้ได้ความยาวประมาณ 10 เซ็นติเมตร)
- ชะอม
- กุ้ง
- หมูสับ
- ไข่ไก่
วิธีทำ ออกแนวผัดซีอิ๊วครับ ไม่ยากเท่าไร
มาดูกันเลยครับ
ผัดหมูสับให้พอสุก
ใส่กุ้ง ผัดให้สุกขึ้นเล็กน้อย
ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป แล้วคนให้กระจาย
จากนั้นใส่วุ้นเส้น และชะอม
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม และน้ำปลาอีกนิดหน่อย
ผัดให้เข้ากัน
วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
ประโยชน์-เมนูเด็ด กระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วันมีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการคือ มีคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน โฟเลท แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี ๑ วิตามินบี ๒ ไนอาซิน วิตามินซี อยู่ปริมาณพอสมควร แต่บทบาททางสุขภาพที่สำคัญของกระเจี๊ยบเขียวเกิดจาการที่กระเจี๊ยบเขียวมี กลูตาไทโอน (glutathione) ซึ่งถือว่าเป็นราชาของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี และยังร่ำรวยใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เพคทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetylated acidic polysaccharide และกรดกาแลคทูโลนิค (galactulonic acid) ดังนั้น การกินกระเจี๊ยบเขียวจึงช่วยระบบขับถ่าย ระบบดูดซึมสารอาหาร ลดความเสี่ยงโรคแผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด
เมนูกระเจี๊ยบเขียว
แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 3 เม็ด
กระเทียม 1 หัว
ปลาช่อน 1 ตัว
ดอกคะน้า 1 ดอก
เกลือ
หอมแดง 5 หัว
กะปิ 1 ช้อนชา
กระเจี๊ยบเขียว 3 ขีด
มะดัน 4 ผล
น้ำปลา
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้ง หอม กระเทียม กะปิ ให้ละเอียดเป็นเครื่องแกง
2. ปลาช่อนแบ่งครึ่ง ด้านหัว ต้มให้สุกแกะเอาแต่เนื้อโขลกลงไปกับข้อที่ 1
3. ด้านหางหั่นตามขวางลำตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1 กระเบียดพักไว้
4. เครื่องแกงละลายกับน้ำเปล่า 4 ถ้วย ตั้งไฟใส่มะดัน เกลือ น้ำปลาให้เดือด เอามะดันขึ้นมาละลายเอาเมล็ดออก ชิมรสใส่ปลาด้านหางลงไปพอสุก
5. กระเจี๊ยบ ดอกคะน้า ล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นพองาม ใส่ลงไปในหม้อพอสุกยกลงเสริ์ฟขณะยังร้อนอยู่
เมนูกระเจี๊ยบเขียว
แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว
เครื่องปรุง
พริกแห้ง 3 เม็ด
กระเทียม 1 หัว
ปลาช่อน 1 ตัว
ดอกคะน้า 1 ดอก
เกลือ
หอมแดง 5 หัว
กะปิ 1 ช้อนชา
กระเจี๊ยบเขียว 3 ขีด
มะดัน 4 ผล
น้ำปลา
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้ง หอม กระเทียม กะปิ ให้ละเอียดเป็นเครื่องแกง
2. ปลาช่อนแบ่งครึ่ง ด้านหัว ต้มให้สุกแกะเอาแต่เนื้อโขลกลงไปกับข้อที่ 1
3. ด้านหางหั่นตามขวางลำตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1 กระเบียดพักไว้
4. เครื่องแกงละลายกับน้ำเปล่า 4 ถ้วย ตั้งไฟใส่มะดัน เกลือ น้ำปลาให้เดือด เอามะดันขึ้นมาละลายเอาเมล็ดออก ชิมรสใส่ปลาด้านหางลงไปพอสุก
5. กระเจี๊ยบ ดอกคะน้า ล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นพองาม ใส่ลงไปในหม้อพอสุกยกลงเสริ์ฟขณะยังร้อนอยู่
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
มะระ-ยำมะระกุ้งสด
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา” นั้นไม่เคยตกยุค เพราะยาอีกจำนวนมากยังคงขมอยู่ บางคนอาจเถียงว่ายาบางชนิดก็หวาน (กินอร่อย) แต่นั้นเป็นการเติมน้ำตาลหรือรสเพื่อกลบรสขมมากกว่าการที่ยานั้นหวานโดยตัว มันเอง ทำไมสิ่งที่ใช้เป็นยาจึงต้องขม กินก็ยาก ก็คงเพราะขมนี่แหละที่ทำให้เรารู้ว่านี่คือยา ไม่ใช่ของกินเล่นหรือขนม และคงต้องรักษาสุขภาพให้ดีไว้ก่อนที่โรคาพยาธิจะเบียดเบียน และต้องกินของที่ขม ที่แสนขื่นลิ้นอย่างยาทั้งหลาย
ประโยชน์ : ยอดอ่อน ใบอ่อนและผลอ่อน-นึ่งหรือลวกให้สุก ทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกปลาร้าหรือน้ำพริกปลาทู แก้เบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ผลดิบ-กินแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้าม อักเสบ ผลสุก-ใช้คั้นน้ำทาหน้าแก้สิว เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาเจริญอาหาร แก้โรคลมเข้าข้อหัวเข่าบวม เป็นยาบำรุงน้ำดี เป็นยาขับพยาธิในท้อง ส่วนน้ำคั้นของผลมะระ-แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู
เมื่อเรารุ้ประโยนช์อันมหาสารของมะระกันไปแล้ว
วันนี้จึงขอเสนอเมนูเด็ด......
ยำมะระกุ้งสด
ส่วนผสม
มะระ 1/2 ลูก
กุ้งแชบ๊วย 5 ตัว
หอมแดงซอย 3 หัว
พริกขี้หนู 5 เม็ด
น้ำมะนาว 1 ช้อน
น้ำปลา 1 ช้อน
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศ ผักกาดหอม แครอทหั่นฝอย ตกแต่งจาน
วิธีทำ
-นำมะระที่ผ่าครึ่งตามแนวนอนแล้วหั่นบางๆ ลงลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วตักออกพักไว้
-เอากุ้งแชบ๊วยที่ผ่าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ลงไปลวกให้สุกเช่นกัน
-ทำเครื่องปรุง ด้วยการตำพริกขี้หนูใส่ลงไป แล้วนำเอาเครื่องปรุงส่วนผสมอื่นๆ มาใส่รวมกัน คลุกกับกุ้งและมะระให้ทั่ว ชิมรสชาติให้กลมกล่อม ออกรสเปรี้ยว หวาน เค็ม ตกแต่งจานด้วยมะเขือเทศ ผักกาดหอม และแครอท แล้วเสิร์ฟได้ทันที
ประโยชน์ : ยอดอ่อน ใบอ่อนและผลอ่อน-นึ่งหรือลวกให้สุก ทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกปลาร้าหรือน้ำพริกปลาทู แก้เบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ผลดิบ-กินแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้าม อักเสบ ผลสุก-ใช้คั้นน้ำทาหน้าแก้สิว เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาเจริญอาหาร แก้โรคลมเข้าข้อหัวเข่าบวม เป็นยาบำรุงน้ำดี เป็นยาขับพยาธิในท้อง ส่วนน้ำคั้นของผลมะระ-แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู
เมื่อเรารุ้ประโยนช์อันมหาสารของมะระกันไปแล้ว
วันนี้จึงขอเสนอเมนูเด็ด......
ยำมะระกุ้งสด
ส่วนผสม
มะระ 1/2 ลูก
กุ้งแชบ๊วย 5 ตัว
หอมแดงซอย 3 หัว
พริกขี้หนู 5 เม็ด
น้ำมะนาว 1 ช้อน
น้ำปลา 1 ช้อน
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศ ผักกาดหอม แครอทหั่นฝอย ตกแต่งจาน
วิธีทำ
-นำมะระที่ผ่าครึ่งตามแนวนอนแล้วหั่นบางๆ ลงลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วตักออกพักไว้
-เอากุ้งแชบ๊วยที่ผ่าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ลงไปลวกให้สุกเช่นกัน
-ทำเครื่องปรุง ด้วยการตำพริกขี้หนูใส่ลงไป แล้วนำเอาเครื่องปรุงส่วนผสมอื่นๆ มาใส่รวมกัน คลุกกับกุ้งและมะระให้ทั่ว ชิมรสชาติให้กลมกล่อม ออกรสเปรี้ยว หวาน เค็ม ตกแต่งจานด้วยมะเขือเทศ ผักกาดหอม และแครอท แล้วเสิร์ฟได้ทันที
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
ข้าวแช่เมนูดับร้อน
“ข้าวแช่” เป็นเมนูอาหารที่ชาวไทยนิยมรับประทานมากในฤดูร้อน เรียกได้ว่า หนึ่งปีมีหนเท่านั้นที่เราจะได้ลองลิ้มชิมรส ข้าวแช่แสนอร่อย ถึงแม้แต่เดิมจะเป็นอาหารที่มีเฉพาะในวังเท่านั้น แต่ปัจจุบัน “ข้าวแช่” ได้กลายมาเป็นอาหารยอดนิยมที่แพร่หลายมาถึงชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้หยุดอยู่สำหรับชาววังเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว
อ่านต่อ
http://www.walkwaywhy.com/
วิธีการทำข้าวแช่ การหุงข้าวแช่ ส่วนประกอบ 1. ข้าวหอมมะลิ 2. ดอกมะลิ 3. น้ำสะอาด วิธีทำ นำเอาข้าวหอมมะลิจำนวนพอเหมาะ หุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะดีที่สุด เมื่อหุงข้าวให้สุกพอสมควร นำไปพักไว้ให้เย็นอยู่สักระยะแล้วจึงเทน้ำเย็นธรรมดาให้ท่วมข้าว หลังจากนั้นก็ล้างข้าวให้หมดเหมือก และนำข้าวที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำออก น้ำ (น้ำแช่กับข้าว) จะนิยมใช้น้ำฝนไปต้มให้เดือดแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ถ้าอยากได้ข้าวมีกลิ่นหอมก็ใช้ดอกมะลิปลอดสารเคมีใส่ลงไป จะเพิ่มให้น้ำหอมชวนชิม |
อ่านต่อ
http://www.walkwaywhy.com/
วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554
เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด แก้กระหายคลายร้อน และช่วยขับปัสสาวะ
แบบอิ่มอร่อยมาฝากแถมเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด
ส่วนผสม
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
นมสดชนิดจืด 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา
ฟรุตสลัด
นม ข้นจืดตามต้องการ
วิธีทำ
ผสมวุ้น ผงกับน้ำ เปล่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตั้งไฟเคี่ยวให้วุ้นละลาย หมั่นคนบ่อย ๆ จนเดือด จากนั้นใส่น้ำตาลแร่ธรรมชาติลงไป คนให้น้ำตาลละลายหมด ใส่นมสดและกลิ่นวานิลาลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเทส่วนผสมลงในถ้วยหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้รอจนแข็งตัวระหว่าง รอ หันไปเตรียมฟรุตสลัดกัน
ส่วนผสม
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
ผลไม้ต่าง ๆ ที่ต้องการทำฟรุตสลัด เช่น มะละกอ, สับปะรด, องุ่น, แคนตาลูป หรือชนิดอื่นตามใจชอบอย่างละ 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
หั่น มะละกอ, สับปะรด, แคนตาลูป เป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ส่วนองุ่นให้ล้างน้ำลอกเปลือกออก ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาลแร่ธรรมชาติ นำไปตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้น ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไป ควรจะเชื่อมทีละอย่าง ตักออกแล้วค่อยเชื่อมอย่างอื่นต่อเมื่อทำ ฟรุตสลัดเรียบร้อยแล้ว นำฟรุตสลัดทั้งเนื้อและน้ำใส่ลงไปในเต้าฮวย ราดด้วยนมข้นจืดตามต้องการ
เคล็ดไม่ลับก้นครัว ถ้า อยากให้เต้าฮวยนิ่ม ๆ ก็ลดปริมาณผงวุ้นลงนิดหน่อย และก่อนรับประทานควรนำเต้าฮวยฟรุตสลัดแช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อความหวาน เย็น สดชื่น
แบบอิ่มอร่อยมาฝากแถมเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด
ส่วนผสม
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
นมสดชนิดจืด 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา
ฟรุตสลัด
นม ข้นจืดตามต้องการ
วิธีทำ
ผสมวุ้น ผงกับน้ำ เปล่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตั้งไฟเคี่ยวให้วุ้นละลาย หมั่นคนบ่อย ๆ จนเดือด จากนั้นใส่น้ำตาลแร่ธรรมชาติลงไป คนให้น้ำตาลละลายหมด ใส่นมสดและกลิ่นวานิลาลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเทส่วนผสมลงในถ้วยหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้รอจนแข็งตัวระหว่าง รอ หันไปเตรียมฟรุตสลัดกัน
ส่วนผสม
น้ำตาล แร่ธรรมชาติ 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
ผลไม้ต่าง ๆ ที่ต้องการทำฟรุตสลัด เช่น มะละกอ, สับปะรด, องุ่น, แคนตาลูป หรือชนิดอื่นตามใจชอบอย่างละ 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
หั่น มะละกอ, สับปะรด, แคนตาลูป เป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ส่วนองุ่นให้ล้างน้ำลอกเปลือกออก ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาลแร่ธรรมชาติ นำไปตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้น ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไป ควรจะเชื่อมทีละอย่าง ตักออกแล้วค่อยเชื่อมอย่างอื่นต่อเมื่อทำ ฟรุตสลัดเรียบร้อยแล้ว นำฟรุตสลัดทั้งเนื้อและน้ำใส่ลงไปในเต้าฮวย ราดด้วยนมข้นจืดตามต้องการ
เคล็ดไม่ลับก้นครัว ถ้า อยากให้เต้าฮวยนิ่ม ๆ ก็ลดปริมาณผงวุ้นลงนิดหน่อย และก่อนรับประทานควรนำเต้าฮวยฟรุตสลัดแช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อความหวาน เย็น สดชื่น
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
ประโยชน์ของการดื่มนมที่ถูกต้อง
นมเป็นแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และวิตามิน ที่สำคัญ ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้เสริมสร้างร่างกายได้ถึง 95 %
ผลการวิจัยว่าการดื่มนมอุ่นๆ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเราเอง จะมีผลดีมากที่สุด เนื่องจาก โปรตีนและแคลเซี่ยมจากนม จะสามารถแตกตัวได้ดีกว่า การดื่มนมเย็น นอกจากนี้ การดื่มนมอุ่นยังส่งผลช่วยในการขยายหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้สารอาหารต่างๆที่ลำเลียงผ่านหลอดเลือดเดินทางไปได้ดีขึ้นอีกด้วยนี่ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆในการดื่มนม ที่บางคนยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การดื่มนมไม่ว่าจะเป็นนมร้อนหรือเย็นก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น เป็นหนทางการดูแลสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย
ผลการวิจัยว่าการดื่มนมอุ่นๆ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเราเอง จะมีผลดีมากที่สุด เนื่องจาก โปรตีนและแคลเซี่ยมจากนม จะสามารถแตกตัวได้ดีกว่า การดื่มนมเย็น นอกจากนี้ การดื่มนมอุ่นยังส่งผลช่วยในการขยายหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้สารอาหารต่างๆที่ลำเลียงผ่านหลอดเลือดเดินทางไปได้ดีขึ้นอีกด้วยนี่ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆในการดื่มนม ที่บางคนยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การดื่มนมไม่ว่าจะเป็นนมร้อนหรือเย็นก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น เป็นหนทางการดูแลสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)