ชื่อท้องถิ่น : แค แคบ้าน แคขาว แคแดง
ต้นแค เป็น พรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอก แคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง
ประโยชน์ตำรายาไทย
ดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้าง
ข้อแนะนำ
สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย
ยำดอกแค
ส่วนผสม
ดอกแค 30 - 40 ดอก
เนื้อหมูสับรวน 50 กรัม
กุ้งปอกเปลือกลวก 9 ตัว
หอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูบุบ 5 เม็ด
น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 30 กรัม
ผักชีเด็ดเป็นใบ
วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.ลวกดอกแคในน้ำเดือดจัด พอสุกรีบตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น แล้วสงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
จัดใส่จานเตรียมไว้
3.ผสม น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูบุบและหอมแดงซอยให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่เนื้อหมูสับ และกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันตักราดลงบนดอกแคในจานที่เตรียม ไว้ โรยด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดและผักชี จัดเสิร์ฟ
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ประโยชน์และโทษของน้ำมันปลา
ประโยชน์ของน้ำมันปลา คือ ลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะลดไตรกลีเซอไรด์ และมีฤทธิ์ในการต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดจึงช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ขึ้น บำรุงสมองและระบบประสาทเหมาะสำหรับทารกจนถึงวัยเด็กที่สมองกำลังพัฒนาสติ ปัญญา และการเรียนรู้ การทำงานของสมองป้องกันความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้านการอักเสบ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหอบหืด ภูมิแพ้ ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันในระยะต้น
ขนาดรับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน
ข้อควรระวัง
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่
ขนาดรับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน
ข้อควรระวัง
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สมุนไพรรักษาอาการเจ็บคอ
ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยตอยเช้าหนาว ตอนกลางวันร้อนและตอนเย็ยก็ฝนตก หลายคนอาจที่อาการไข้หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น เจ็บคอ เข้ามากวนใจ วันนี้จึงมีวิธีการรักษาอาการเจ็บคอด้วยการใช้สมุนไพรที่หาได้ภายในบ้าน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาฝากค่ะ
เจ็บคอ เป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยในคนทุกเพศ ทุก วัย มักเกิดร่วมกับอาหารหวัด แพ้อากาศ หรือไอเป็นเวลานาน ซึ่งต้องรักษาอาการอื่นๆพร้อมกันไปด้วย การเจ็บคอบางครั้งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส อาจทำให้คอแดง มีเสมหะมาก สีเหลืองขุ่นหรือสีเหลืองปนเขียว ควรได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน สำหรับอาการเจ็บคอเล็กน้อย หรือเมื่อเริ่มมีอาการอาจเลือกใช้สมุนไพรก่อนในเบื้องต้น สมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี คือ
ฟ้าทะลาย
ส่วนที่ใช้ ถ้าเก็บตอนเริ่มมีดอก จะใช้ทั้งต้นบนดิน แต่ถ้าต้นแก่จะใช้เฉพาะใบเท่านั้น ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้งซึ่งมีรสขมจัด
ขนาด และวิธีใช้ บดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือใช้ใบสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง
การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
ประหยัดและปลอดภัยกว่าการซื้อยามาอมทั้งวันการกลั้วคอเห็นผลแทบจะในทันที คือ ผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 ถ้วยอมน้ำเกลือกลัวคอ แหงนหงายศรีษะไปข้างหลังเพื่อให้น้ำเกลืออาบเนื้อเยื่อในคอ อาการเจ็บคอจะบรรเทาไปชั่วคราว ทำซ้ำวันละ 4 ครั้ง
ทานมะขามป้อม
เพื่อทั้งกันและแก้อาการหวัดสามารถรับประทานได้ทั้งผลแห้งและผลสด ลองเลือกสักวิธีที่ง่าย ๆ และสะดวกดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 รับ ประทานลูกสดทั้งลูกวันละ 1-2 ลูก ตอนรับประทานเข้าไปทีแรกอาจรู้สึกเปรี้ยวและฝาด ๆ ขม ๆ แต่เมื่ออมไปสักครู่รสชาติจะเปลี่ยนเป็นหวานชุ่มคอดีนัก ยิ่งเวลาเหนื่อย ๆ กระหายน้ำจะชุ่มชื่นขึ้นทันที
วิธีที่ 2เลือก ผลสด ๆ แก่จัดสัก 20-30 ลูก ล้างน้ำผ่าเอาเมล็ดออก เอาเนื้อใส่เครื่องปั่นไฟฟ้า หรือตำด้วยครกไทยก็ได้ เติมน้ำ 2 ถ้วย ผสมด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งประมาณ 1/3 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำมะขามป้อมสีขาวขุ่น ๆ ใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็น รินดื่มกันได้ทั่วหน้า
มะนาว
วิธีการปรุงง่าย ๆ คือ ใช้น้ำมะนาว 1 ส่วน ผสมน้ำสุกอุ่น 1 ส่วน น้ำเชื่อม 1 ส่วน เหยาะเกลือเล็กน้อย ผสมให้เข้ากันดีแล้วค่อย ๆ จิบทีละน้อย จะได้ผลดีกว่าดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เพราะตัวยาจะออกฤทธิ์ที่คออย่างสม่ำเสมอ รักษาอาการไอ เจ็บคอในหน้าฝนอย่างนี้ดีนักเชียว
เพราะ น้ำมะนาวมีกรดอยู่เป็นจำนวนมาก กรดชนิดนี้ช่วยลดการกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายสดชื่น และเป็นยาฝาดสมานอย่างอ่อน ๆ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ระงับการเติบโตของเชื้อโรค จึงเหมาะสำหรับรักษาอาการไข้ อาการหวัด หรือไอ มีเสมหะ
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ใบชะพู
ประโยชน์และสรรพคุณของใบชะพลู
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด เช่น เมี่ยงคำ ลาบ เป็นผักประกอบข้าวยำ แกงคั่วหอยขม แกงอ่อม แกงหน่อไม้
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง
ข้อควรระวัง
ใบชะพลูมีสารกลุ่มออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ ถ้าหากร่างกายได้รับการสะสม จึงควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้สารดังกล่าวถูกเจือจ่าง ถูกขับถ่ายมาทางปัสสวะ หรือทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วก็ได้
เมื่อเห็นประโยนช์อัมมหาศาลของใบชะพลูกันแล้ววันนี้จึงขอนำเสนอเมนูเด็ดที่มีซื่อว่า
แกงปลาดุกนาข่าอ่อนใบชะพลู
ส่วนผสม
- ปลาดุกนา - ใบชะพลู - ใบยี่หร่า (ถ้ามี) - ข่าอ่อน - กะทิ - เครื่องแกงเผ็ดใต้ - กะปิ - เกลือ - น้ำปลา - ผงปรุงรส
ขั้นตอนการทำ
- กะทิตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ + กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- ผัดกะทิกับเครื่องแกงให้สุกหอม ใส่ปลาดุกลงไปเลยค่ะ
- เกลี่ย ๆ เนื้อปลาให้เข้ากับเครื่องแกง รอจนเนื้อปลาเริ่มสุก น้ำแกงเดือดจัด เติมกะทิลงไป
- รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ข่าอ่อนลงไป
- เดือดซักพัก ใส่ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่าลงไป
- เกลี่ย ๆ ให้ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่า จมเครื่องแกง อย่าคนแรงน๊ะคะ เดี๋ยวปลาจะเละ
- รอให้เดือดซักพัก ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ตามชอบ ก็เสร็จแล้วค่ะ
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด เช่น เมี่ยงคำ ลาบ เป็นผักประกอบข้าวยำ แกงคั่วหอยขม แกงอ่อม แกงหน่อไม้
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง
ข้อควรระวัง
ใบชะพลูมีสารกลุ่มออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ ถ้าหากร่างกายได้รับการสะสม จึงควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้สารดังกล่าวถูกเจือจ่าง ถูกขับถ่ายมาทางปัสสวะ หรือทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วก็ได้
เมื่อเห็นประโยนช์อัมมหาศาลของใบชะพลูกันแล้ววันนี้จึงขอนำเสนอเมนูเด็ดที่มีซื่อว่า
แกงปลาดุกนาข่าอ่อนใบชะพลู
ส่วนผสม
- ปลาดุกนา - ใบชะพลู - ใบยี่หร่า (ถ้ามี) - ข่าอ่อน - กะทิ - เครื่องแกงเผ็ดใต้ - กะปิ - เกลือ - น้ำปลา - ผงปรุงรส
ขั้นตอนการทำ
- กะทิตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ + กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- ผัดกะทิกับเครื่องแกงให้สุกหอม ใส่ปลาดุกลงไปเลยค่ะ
- เกลี่ย ๆ เนื้อปลาให้เข้ากับเครื่องแกง รอจนเนื้อปลาเริ่มสุก น้ำแกงเดือดจัด เติมกะทิลงไป
- รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ข่าอ่อนลงไป
- เดือดซักพัก ใส่ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่าลงไป
- เกลี่ย ๆ ให้ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่า จมเครื่องแกง อย่าคนแรงน๊ะคะ เดี๋ยวปลาจะเละ
- รอให้เดือดซักพัก ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ตามชอบ ก็เสร็จแล้วค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
การล้างผักให้สะอาด
ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจหรือเทศการกินผัก การกินผักนั้นมีประโยชน์มากแต่ก่อนที่จะกินเราก้ต้องล้างผักให้สะอาดเพื่อล้างสารพิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ในผักเพราะถ้าหากล้างไม่หมกอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการล้างผักให้สะอาดมาฝากค่ะ
- ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %
- น้ำส้มสายชู เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %
- น้ำไหล เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %
- แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %
- ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
- ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %
- น้ำส้มสายชู เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %
- น้ำไหล เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %
- แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %
- ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)