ประโยชน์ต่อสุขภาพของแค
เท่าที่สำรวจพบจากรายงานต่างๆ มีดังนี้คือ
ประเทศไทยยอดและใบอ่อนแคมีสรรพคุณ ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ส่วนดอกแคมีประโยชน์ทางยาคือ แก้ไข้หัวลม โดยมักให้กินเป็นแกงส้มดอกแค
ประเทศอินเดียใช้แคเป็นยาพื้นบ้านดังนี้
รากสด 20 กรัม เคี่ยวในน้ำ 1 ลิตร 30 นาที กรองเอารากออกดื่มแก้อาการอักเสบ
เทน้ำเดือด 1 ลิตรท่วมใบสด 20 กรัม ทิ้งไว้ 15 นาทีกรองเอาใบแคออก ดื่มแก้โรคตาบอดกลางคืน ขับพยาธิ บรรเทาอาการลมบ้าหมูและโรคเกาต์
เทน้ำเดือด 1 ลิตรท่วมดอกแคสด 20 กรัม ทิ้งไว้ 15 นาทีกรองเอาดอกแคออก ดื่มแก้หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ และบำรุงตับ
ส่วนฝักสด 20 กรัม เคี่ยวในน้ำ 1 ลิตร 30 นาที กรองเอาฝักออกดื่มเพื่อระบายท้อง บรรเทาอาการไข้ ปวด เลือดจาง ช่วยความจำและป้องกันการเกิดเนื้องอก
ใบแคตำพอกบรรเทาอาการช้ำบวม
น้ำคั้นรากแคเจือน้ำผึ้งใช้ขับเสมหะลดอาการไอ
สูตรจากประเทศอินเดียทั้งหมดนี้ดื่มก่อนอาหาร เช้า เย็น 1 ชั่วโมงและก่อนนอน เตรียมแต่พอดื่มวันต่อวัน
การ วิจัยของประเทศอินเดียพบว่า สารสกัดเอ-ทานอลของใบแคมีฤทธิ์ป้องกันการถูกทำลายของตับในหนูทดลองที่ได้รับ ยาเกินขนาดโดยพบปริมาณเอนไซม์ แอสพาร์เทตทรานส์อะมิเนส อะลานีนทรานส์อะมิเนส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสต่ำในหนูที่รับยาและสารสกัดใบแค เอนไซม์ดังกล่าวมีปริมาณสูงในหนูซึ่งรับยาเกินขนาด เนื่องจากตับถูกทำลาย
นอก จากนี้หนูที่ได้รับยาและสารสกัดใบแคมีปริมาณไตรกลีเซอไรด์ โคเลสเตอรอล ฟอสโฟไลพิด และกรดไขมันอิสระต่ำกว่าหนูกลุ่มที่ได้รับยาอย่างเดียวและพบว่าสารสกัดใบแค ทำให้ปริมาณสารต้าน อนุมูลอิสระในกระแสเลือดหนูกลับสู่สภาวะปกติ ขณะที่ปริมาณสารดังกล่าวในหนูที่รับยามีปริมาณต่ำผลการวิจัยนี้เป็นข้อสนับ สนุนข้อมูลแพทย์ทางเลือกที่ใช้ใบแคบำรุงตับและแก้ความผิดปกติของตับได้อย่าง ดี
ดอกแคห่อกุ้งทอด
ส่วนผสม
ดอกแค 15 - 20 ดอก
กุ้งสับละเอียด 150 กรัม
แป้งทอดกรอบ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1/2 - 3/4ถ้วยตวง
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
รากผักชีหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
กระเทียมหั่นหยาบ ๆ 2 ชัอนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
เกล็ดขนมปังสำหรับคลุก
น้ำมันพืชสำหรับทอด
วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.โขลกพริกไทยเม็ด กระเทียม รากผักชีและเกลือป่นจนละเอียดใส่กุ้งสับโขลกจนเหนียว
3.นำดอกแคยัดด้วยไส้กุ้งที่เตรียมไว้
4.ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำเปล่าคนให้เข้ากัน นำดอกแคชุบลงในน้ำแป้งและคลุกเกล็ดขนมปัง
ลงทอดในน้ำมันพืชร้อน ๆ จนเหลืองทั่ว ตักขึ้นรับประทานกับน้ำจิ้ม
ส่วนผสมน้ำจิ้ม
กระเทียมหั่นหยาบ ๆ 1 1/2 ชัอนชา
พริกชี้ฟ้าสีเหลือง 4 - 5 เม็ด
น้ำส้มสายชูกลั่น ตราภูเขาทอง 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำน้ำจิ้ม
1.โขลกพริกชี้ฟ้าและกระเทียม ให้ละเอียด
2.นำน้ำส้มสายชูกลั่น ตราภูเขาทอง น้ำตาลทรายและเกลือป่น ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด ใส่พริกที่โขลกไว้
เคี่ยวพอข้น ยกลง
tips : ต้องเลือกดอกแคแก่ที่กลีบยังไม่บานนะคะจะทำให้ยัดไส้ได้ง่าย
อาหารการกิน
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ยำก๋วยเตี๋ยวบก เพื่อสุขภาพ โดย นายเหลือง
ยำก๋วยเตี๋ยวบก เพื่อสุขภาพ โดย นายเหลือง
เมนูนี้ นายเหลือง คิดขึ้นเองครับ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ก๋วยเตี๋ยวยำ ก๋วยเตี๋ยวบก โดยประยุกต์เอาผักที่มีสัน แตกต่างกันมาไว้ด้วยกัน ตามหลักการทานอาหารที่ต้องมีผักหลากสี อันเป็นผลดีต่อสุขภาพ ของเกาหลี ตอนทำนั้น คิดทำในระหว่างที่น้องขวัญเปิดร้านกาแฟสด-อาหารตามสั่ง นั้นเอง สำหรับร้านน้องขวัญไว้จะเอามาลงเล่าให้ฟังอีกครั้งนะครับ มีเรื่องให้เรียนรู้กันมากมายเลยที่เดียว
ส่วนประกอบ
1.เส้นใหญ่ ลวกแล้ว คลุกกระเทียมเจียว
2. กะหลำปลีลวกสุก50% (พอสลด)
3.หมูหมัก นิ่มต้มสุก
4.แครอท หั่นเส้นลวกสุก
5.หอมใหญ่หั่นเส้น
6.ไข่ฝอย (ไข่เจียวบางๆหั่นเส้น)
7.ผักชีสด
8.พริกขี้หนูสด หั่น และทั้งเมล็ด
9.ผักชี
.
น้ำยำสำหรับราด
1. น้ำเชือม
2.น้ำมะนาว
3.น้ำปลา
4.พริกขี้หนูหั่น
5.หอมใหญ่สับหยาบ
6.ต้นหอมหั่น
วิธีทำน้ำ ยำสำหรับราด
คือเอาน้ำร้อนละลายน้ำตาล ให้ออกหวาน เติมเกลือน้ำปลา มะนาว ชมตามชอบ เสร็จแล้ว ใส่ผักพริก หรืออาจใส่ถั่วลิสงเพิ่มได้ตามชอบ
เมนูนี้ นายเหลือง คิดขึ้นเองครับ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ก๋วยเตี๋ยวยำ ก๋วยเตี๋ยวบก โดยประยุกต์เอาผักที่มีสัน แตกต่างกันมาไว้ด้วยกัน ตามหลักการทานอาหารที่ต้องมีผักหลากสี อันเป็นผลดีต่อสุขภาพ ของเกาหลี ตอนทำนั้น คิดทำในระหว่างที่น้องขวัญเปิดร้านกาแฟสด-อาหารตามสั่ง นั้นเอง สำหรับร้านน้องขวัญไว้จะเอามาลงเล่าให้ฟังอีกครั้งนะครับ มีเรื่องให้เรียนรู้กันมากมายเลยที่เดียว
ส่วนประกอบ
1.เส้นใหญ่ ลวกแล้ว คลุกกระเทียมเจียว
2. กะหลำปลีลวกสุก50% (พอสลด)
3.หมูหมัก นิ่มต้มสุก
4.แครอท หั่นเส้นลวกสุก
5.หอมใหญ่หั่นเส้น
6.ไข่ฝอย (ไข่เจียวบางๆหั่นเส้น)
7.ผักชีสด
8.พริกขี้หนูสด หั่น และทั้งเมล็ด
9.ผักชี
.
น้ำยำสำหรับราด
1. น้ำเชือม
2.น้ำมะนาว
3.น้ำปลา
4.พริกขี้หนูหั่น
5.หอมใหญ่สับหยาบ
6.ต้นหอมหั่น
วิธีทำน้ำ ยำสำหรับราด
คือเอาน้ำร้อนละลายน้ำตาล ให้ออกหวาน เติมเกลือน้ำปลา มะนาว ชมตามชอบ เสร็จแล้ว ใส่ผักพริก หรืออาจใส่ถั่วลิสงเพิ่มได้ตามชอบ
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ดอกแค- ประโยชน์และเมนูเด็ด
ชื่อท้องถิ่น : แค แคบ้าน แคขาว แคแดง
ต้นแค เป็น พรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอก แคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง
ประโยชน์ตำรายาไทย
ดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้าง
ข้อแนะนำ
สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย
ยำดอกแค
ส่วนผสม
ดอกแค 30 - 40 ดอก
เนื้อหมูสับรวน 50 กรัม
กุ้งปอกเปลือกลวก 9 ตัว
หอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูบุบ 5 เม็ด
น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 30 กรัม
ผักชีเด็ดเป็นใบ
วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.ลวกดอกแคในน้ำเดือดจัด พอสุกรีบตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น แล้วสงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
จัดใส่จานเตรียมไว้
3.ผสม น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูบุบและหอมแดงซอยให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่เนื้อหมูสับ และกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันตักราดลงบนดอกแคในจานที่เตรียม ไว้ โรยด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดและผักชี จัดเสิร์ฟ
ต้นแค เป็น พรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะเปราะง่ายใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อประมาณช่อละ 2-4 ดอก ดอกมีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฝักจะมีลักษณะกลมแบนๆ ยาว ดอก แคอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและด้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียลและฟอสฟอรัสสูง
ประโยชน์ตำรายาไทย
ดอกแค สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก ดอกแคและยอดอ่อน ยังช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกลำต้นเมื่อนำมาต้นน้ำให้เดือด 30 นาที ใช้น้ำต้มชะล้าง
ข้อแนะนำ
สำหรับดอกแค ก่อนนำไปปรุงอาหารควรแกะไส้ในออกก่อน มิฉะนั้นจะมีรสขม รับประทานไม่อร่อย
ยำดอกแค
ส่วนผสม
ดอกแค 30 - 40 ดอก
เนื้อหมูสับรวน 50 กรัม
กุ้งปอกเปลือกลวก 9 ตัว
หอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูบุบ 5 เม็ด
น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 30 กรัม
ผักชีเด็ดเป็นใบ
วิธีทำ
1.ดอกแค เอาเกสรออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
2.ลวกดอกแคในน้ำเดือดจัด พอสุกรีบตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น แล้วสงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
จัดใส่จานเตรียมไว้
3.ผสม น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูบุบและหอมแดงซอยให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่เนื้อหมูสับ และกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันตักราดลงบนดอกแคในจานที่เตรียม ไว้ โรยด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดและผักชี จัดเสิร์ฟ
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ประโยชน์และโทษของน้ำมันปลา
ประโยชน์ของน้ำมันปลา คือ ลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะลดไตรกลีเซอไรด์ และมีฤทธิ์ในการต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดจึงช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ขึ้น บำรุงสมองและระบบประสาทเหมาะสำหรับทารกจนถึงวัยเด็กที่สมองกำลังพัฒนาสติ ปัญญา และการเรียนรู้ การทำงานของสมองป้องกันความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้านการอักเสบ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหอบหืด ภูมิแพ้ ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันในระยะต้น
ขนาดรับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน
ข้อควรระวัง
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่
ขนาดรับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน
ข้อควรระวัง
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ ซึ่งมีวิตามินนานาชนิด มากมายตั้งแต่ A-Z รวมทั้งน้ำมันตับปลาด้วย หลายคนคงเคยรับประทาน และบางคนก็รับประทานเป็นประจำ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าน้ำมันตับปลามีสาร ที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดด้วย โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเช่นเดียวกับ แอสไพริน และยาที่มีอยู่ทั่วไปในยาแก้ปวดที่ไม่ใช่ สเตียรรอยด์ (NSAIDs : nonsteroidal anti- inflammatory drugs) ไม่นับรวมพาราเซตามอน ซึ่งไม่มีผลต่อเกล็ดเลือด ดังนั้น ถ้าได้รับยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด จะต้องหยุดยาก่อนการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่ที่สมบรูณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากยาเข้ามาแทนที่
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สมุนไพรรักษาอาการเจ็บคอ
ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยตอยเช้าหนาว ตอนกลางวันร้อนและตอนเย็ยก็ฝนตก หลายคนอาจที่อาการไข้หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น เจ็บคอ เข้ามากวนใจ วันนี้จึงมีวิธีการรักษาอาการเจ็บคอด้วยการใช้สมุนไพรที่หาได้ภายในบ้าน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาฝากค่ะ
เจ็บคอ เป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยในคนทุกเพศ ทุก วัย มักเกิดร่วมกับอาหารหวัด แพ้อากาศ หรือไอเป็นเวลานาน ซึ่งต้องรักษาอาการอื่นๆพร้อมกันไปด้วย การเจ็บคอบางครั้งมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส อาจทำให้คอแดง มีเสมหะมาก สีเหลืองขุ่นหรือสีเหลืองปนเขียว ควรได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน สำหรับอาการเจ็บคอเล็กน้อย หรือเมื่อเริ่มมีอาการอาจเลือกใช้สมุนไพรก่อนในเบื้องต้น สมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี คือ
ฟ้าทะลาย
ส่วนที่ใช้ ถ้าเก็บตอนเริ่มมีดอก จะใช้ทั้งต้นบนดิน แต่ถ้าต้นแก่จะใช้เฉพาะใบเท่านั้น ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้งซึ่งมีรสขมจัด
ขนาด และวิธีใช้ บดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือใช้ใบสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง
การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
ประหยัดและปลอดภัยกว่าการซื้อยามาอมทั้งวันการกลั้วคอเห็นผลแทบจะในทันที คือ ผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 ถ้วยอมน้ำเกลือกลัวคอ แหงนหงายศรีษะไปข้างหลังเพื่อให้น้ำเกลืออาบเนื้อเยื่อในคอ อาการเจ็บคอจะบรรเทาไปชั่วคราว ทำซ้ำวันละ 4 ครั้ง
ทานมะขามป้อม
เพื่อทั้งกันและแก้อาการหวัดสามารถรับประทานได้ทั้งผลแห้งและผลสด ลองเลือกสักวิธีที่ง่าย ๆ และสะดวกดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 รับ ประทานลูกสดทั้งลูกวันละ 1-2 ลูก ตอนรับประทานเข้าไปทีแรกอาจรู้สึกเปรี้ยวและฝาด ๆ ขม ๆ แต่เมื่ออมไปสักครู่รสชาติจะเปลี่ยนเป็นหวานชุ่มคอดีนัก ยิ่งเวลาเหนื่อย ๆ กระหายน้ำจะชุ่มชื่นขึ้นทันที
วิธีที่ 2เลือก ผลสด ๆ แก่จัดสัก 20-30 ลูก ล้างน้ำผ่าเอาเมล็ดออก เอาเนื้อใส่เครื่องปั่นไฟฟ้า หรือตำด้วยครกไทยก็ได้ เติมน้ำ 2 ถ้วย ผสมด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งประมาณ 1/3 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำมะขามป้อมสีขาวขุ่น ๆ ใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็น รินดื่มกันได้ทั่วหน้า
มะนาว
วิธีการปรุงง่าย ๆ คือ ใช้น้ำมะนาว 1 ส่วน ผสมน้ำสุกอุ่น 1 ส่วน น้ำเชื่อม 1 ส่วน เหยาะเกลือเล็กน้อย ผสมให้เข้ากันดีแล้วค่อย ๆ จิบทีละน้อย จะได้ผลดีกว่าดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เพราะตัวยาจะออกฤทธิ์ที่คออย่างสม่ำเสมอ รักษาอาการไอ เจ็บคอในหน้าฝนอย่างนี้ดีนักเชียว
เพราะ น้ำมะนาวมีกรดอยู่เป็นจำนวนมาก กรดชนิดนี้ช่วยลดการกระหายน้ำ ทำให้ร่างกายสดชื่น และเป็นยาฝาดสมานอย่างอ่อน ๆ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ระงับการเติบโตของเชื้อโรค จึงเหมาะสำหรับรักษาอาการไข้ อาการหวัด หรือไอ มีเสมหะ
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ใบชะพู
ประโยชน์และสรรพคุณของใบชะพลู
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด เช่น เมี่ยงคำ ลาบ เป็นผักประกอบข้าวยำ แกงคั่วหอยขม แกงอ่อม แกงหน่อไม้
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง
ข้อควรระวัง
ใบชะพลูมีสารกลุ่มออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ ถ้าหากร่างกายได้รับการสะสม จึงควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้สารดังกล่าวถูกเจือจ่าง ถูกขับถ่ายมาทางปัสสวะ หรือทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วก็ได้
เมื่อเห็นประโยนช์อัมมหาศาลของใบชะพลูกันแล้ววันนี้จึงขอนำเสนอเมนูเด็ดที่มีซื่อว่า
แกงปลาดุกนาข่าอ่อนใบชะพลู
ส่วนผสม
- ปลาดุกนา - ใบชะพลู - ใบยี่หร่า (ถ้ามี) - ข่าอ่อน - กะทิ - เครื่องแกงเผ็ดใต้ - กะปิ - เกลือ - น้ำปลา - ผงปรุงรส
ขั้นตอนการทำ
- กะทิตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ + กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- ผัดกะทิกับเครื่องแกงให้สุกหอม ใส่ปลาดุกลงไปเลยค่ะ
- เกลี่ย ๆ เนื้อปลาให้เข้ากับเครื่องแกง รอจนเนื้อปลาเริ่มสุก น้ำแกงเดือดจัด เติมกะทิลงไป
- รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ข่าอ่อนลงไป
- เดือดซักพัก ใส่ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่าลงไป
- เกลี่ย ๆ ให้ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่า จมเครื่องแกง อย่าคนแรงน๊ะคะ เดี๋ยวปลาจะเละ
- รอให้เดือดซักพัก ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ตามชอบ ก็เสร็จแล้วค่ะ
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด เช่น เมี่ยงคำ ลาบ เป็นผักประกอบข้าวยำ แกงคั่วหอยขม แกงอ่อม แกงหน่อไม้
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้
ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง
ข้อควรระวัง
ใบชะพลูมีสารกลุ่มออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ ถ้าหากร่างกายได้รับการสะสม จึงควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้สารดังกล่าวถูกเจือจ่าง ถูกขับถ่ายมาทางปัสสวะ หรือทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วก็ได้
เมื่อเห็นประโยนช์อัมมหาศาลของใบชะพลูกันแล้ววันนี้จึงขอนำเสนอเมนูเด็ดที่มีซื่อว่า
แกงปลาดุกนาข่าอ่อนใบชะพลู
ส่วนผสม
- ปลาดุกนา - ใบชะพลู - ใบยี่หร่า (ถ้ามี) - ข่าอ่อน - กะทิ - เครื่องแกงเผ็ดใต้ - กะปิ - เกลือ - น้ำปลา - ผงปรุงรส
ขั้นตอนการทำ
- กะทิตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ + กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- ผัดกะทิกับเครื่องแกงให้สุกหอม ใส่ปลาดุกลงไปเลยค่ะ
- เกลี่ย ๆ เนื้อปลาให้เข้ากับเครื่องแกง รอจนเนื้อปลาเริ่มสุก น้ำแกงเดือดจัด เติมกะทิลงไป
- รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ใส่ข่าอ่อนลงไป
- เดือดซักพัก ใส่ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่าลงไป
- เกลี่ย ๆ ให้ใบชะพลู กับ ใบยี่หร่า จมเครื่องแกง อย่าคนแรงน๊ะคะ เดี๋ยวปลาจะเละ
- รอให้เดือดซักพัก ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ตามชอบ ก็เสร็จแล้วค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
การล้างผักให้สะอาด
ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจหรือเทศการกินผัก การกินผักนั้นมีประโยชน์มากแต่ก่อนที่จะกินเราก้ต้องล้างผักให้สะอาดเพื่อล้างสารพิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ในผักเพราะถ้าหากล้างไม่หมกอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการล้างผักให้สะอาดมาฝากค่ะ
- ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %
- น้ำส้มสายชู เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %
- น้ำไหล เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %
- แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %
- ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
- ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %
- น้ำส้มสายชู เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %
- น้ำไหล เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %
- แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %
- ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)